บทความ
…เรียนวิชาภาษาไทยเรียนไว้เถิด เพื่อชูเชิดสมบัติชาติศาสตร์ภาษา เพื่อรู้ศิลป์สื่อสารการพูดจา เพื่อรู้ค่าสุภาษิตชี้ทิศทาง…
…เสียงขับเสภาในคาบแรกของการเปิดภาคเรียน นักเรียนฟังผมด้วยความตั้งใจ ผมได้ชี้ให้เขาเห็นถึงความสำคัญของวิชาภาษาไทยและได้ตั้งกฎกติกาในการเรียนร่วมกัน เมื่อถึงคาบเรียนที่สองนักเรียนไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา ที่ตั้งไว้ ผมจึงทำโทษตามกติกาที่ตั้งไว้ด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่ขึงขังน่ากลัว จนทำให้ในคาบเรียนที่สามนักเรียนปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด แต่เต็มไปด้วยความเกร็งและความกลัว ด้วยความสงสารผมจึงค่อย ๆ ลดท่าทีและน้ำเสียงที่น่าเกรงขามลง
…แต่เชื่อไหมครับว่าสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นท่านรองผู้อำนวยการเรียกผมเข้าพบพร้อมหัวหน้ากลุ่มสาระ หัวหน้าฝ่ายบุคคล เพื่อรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น คือมีผู้ปกครองร้องเรียนมาถึงพฤติกรรมการสอนของผมที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผมรู้สึกท้อและเสียใจที่ต้องทำให้คุณครูท่านอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะสิ่งที่ผมทำ
…ขณะที่ผมท้อและเสียใจอยู่นั้น ผมพยายามเปิดใจให้กว้าง เปลี่ยนวิธีคิด ผมจึงใช้วิธีการสอนแบบ Active learning โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ เช่น แต่งเพลงให้นักเรียนร้องและเต้นประกอบ ปรากฎว่ามีนักเรียน อัดคลิปและนำเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก จนมีคนดูและแชร์เป็นจำนวนมาก และได้รับเสียงตอบรับว่าจัดการสอนได้ดี
…จนกระทั่งมีนักเรียนบางกลุ่มอาศัยช่วงครูเผลอแอบเล่นโทรศัพท์ใต้โต๊ะ ครูจึงหาวิธีจัดการนักเรียนกลุ่มนี้โดยการสอนสวดโอ้เอ้วิหารรายซึ่งอยู่ในเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาพอดี ปรากฎว่า นักเรียนให้ความร่วมมือในการสวด] โอ้เอ้วิหารรายเป็นอย่างดี เมื่อกิจกรรมนี้เผยแพร่ไปยังเฟซบุ๊ก ทำให้หัวหน้ากลุ่มสาระชื่นชมและมอบหมายให้จัดกิจกรรมการสวดโอ้เอ้วิหารรายขึ้นในวันกรมพระปรมานุชิตชิโนรสในภาคเรียนที่สอง ผมจึงฝึกซ้อมนักเรียนหลังเลิก] เรียนเสมอมาจนถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา นักเรียนแสดงได้ดีมีสมาธิมากขึ้น อ่านคล่องขึ้น แบ่งเวลาในการเล่นเกมได้ดีขึ้น และนี่แหละครับ ที่ผมเชื่อว่า
“ถ้าครูเปลี่ยนท่าทีและน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม หันมาใช้น้ำเสียงที่นุ่มอ่อนหวานในการจัดการเรียนรู้ได้ฉันใด เสียงแห่งการสวดโอ้เอ้วิหารรายก็สามารถเปลี่ยนเด็กติดเกม เด็กสมาธิสั่น และเด็กอ่านไม่คล่องได้ฉันนั้น” เพราะผมเชื่อมั่นเสมอว่า พลังเสียงเปลี่ยนชีวิตครูและศิษย์ได้ครับ